เมืองท่ายาง
                            ในสมัยพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชการที่ ๒) เมื่อ
                            พ.ศ. ๒๓๕๒พระเจ้าปะดุงแห่งประเทศพม่า ให้ “อะเติ่งวุ่น”
                            เป็นแม่ทัพยกมาตั้ง ณ เมืองทะวาย แล้วให้ “แยมอง”
                            เป็นแม่ทัพไปตีเมืองถลางให้ “ดุงเรียงสารากะยะ”
                            กุมพลสามพันเข้าตีเมืองมลิวัน เมืองกระบุรี
                            (เมืองมะลิวันและเมืองกระบุรี
                            เป็นหัวเมืองชั้นจัตวาขึ้นกับเมืองชุมพรที่เป็นหัวเมืองชั้นตรี)
                            
                            
                            ไม่ทันที่พม่าจะได้ตีเมืองอื่นได้มีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
                            ให้สมเด็จพระอนุชาธิราชกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ยกทัพไปสู้รบกับพม่า
                            สมเด็จพรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์
                            จึงให้“พระยาจ่าแสนนากร”(บัง) เข้าตีกองทัพพม่าที่เมืองชุมพร
                            จนแตกทัพหนีไป กองทัพหลวงที่ยกมายังคง 
                            อยู่ที่เมืองชุมพรเป็นเวลานาน
                            และได้ส่งกองทัพออกไปปราบปรามกองทัพพม่าจนหมดสิ้น
                            ซึ่งสถานที่ที่ทัพหลวงมาตั้งอยู่คือ
                            “บ้านท่ายาง”สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาเสนารักษ์
                            และพระยาเพชรกำแหงสงคราม (เกตุ) ได้รวบรวมผู้คนที่หนีภัยพม่า
                            ให้อยู่รวมกัน และตั้งเมืองขึ้นใหม่
                            เพราะเมืองเดิมถูกพม่าเผาทำลายหมด โดยในปี พ.ศ. ๒๓๕๓
                            ได้สร้างวัดขึ้นมาชื่อว่า “วัดพิชัยยาราม”
                            เพื่อเป็นอนุสรณ์ที่ชนะศึกพม่า ชาวบ้านทั่วไปจะเรียกว่า
                            “วัดโบสถ์” 
                            
                            พระยาเพชรกำแหงสงคราม (เกตุ)
                            ได้ตั้งบ้านเรือนและที่ทำการเมืองชุมพร ที่ริมน้ำคลองท่ายาง
                            ใกล้กับท่าน้ำวัดพิชัยยาราม
                            และให้ชาวบ้านปลูกบ้านอาศัยอยู่ริมคลองท่ายางทั้งสองฝั่ง
                            ซึ่งริมคลองท่ายางด้านทิศตะวันออกเป็นสันดอนกว้าง ๒-๓ เส้น
                            น้ำขึ้นไม่มากจึงใช้ปลูกบ้านที่อยู่อาศัย ถัดไปเป็นทุ่งนา
                            จนจดทะเลก่อนถึงทะเลมีสันดอนริมทะเล
                            ทำให้น้ำเค็มไม่เข้าทุ่งนาจึงทำนาได้ผลดี
                            แต่ด้านทิศตะวันตกเป็นที่ลุ่มน้ำขึ้นถึงจึงทำนาไม่ได้
                            แต่ทำไร่ได้บ้าง 
                            
                            พ.ศ. ๒๓๖๐ พระยาเพชรกำแหงสงคราม (เกตุ)
                            ถึงแก่กรรมพระยาเพชรกำแหงสงคราม (ซุ่ย)
                            ได้เป็นเจ้าเมืองชุมพรแทนท่านได้รับพระราชทานที่นา
                            และที่อยู่อาศัย คือที่ริมคลองท่ายางจดที่นา
                            ต่อจากนาของกรมการเมืองสมัยพระเกตุ
                            ไปจนถึงนาเหนือทิศตะวันออกจดทะเล บริเวณที่นาเหนือคือ วัดกลาง
                            (บริเวณพ่อปู่ชี และตลาดนัดปัจจุบัน) 
                            
                            ในสมัยพระยาชุมพร (พระยาเพชรกำแหงสงคราม ซุ่ย) เป็นเจ้าเมือง
                            ท่ายางเจริญรุ่งเรืองที่สุด
                            เป็นเมืองที่มีการค้าขายกับเมืองจีนและเมืองอื่น ๆ
                            มีคนจีนเข้ามาอพยพเข้ามาอยู่อาศัย มีการทำรังนกนางแอ่น
                            เป็นศูนย์กลางการค้าทางเรือ จนเป็นที่รู้จักของชาวจีนว่า
                            ท่าเรือ “เถ่เอี้ยง” (คือ ท่ายาง) ที่เมือง “เจียมพุง” (คือ
                            ชุมพร) มีร้านค้าริมฝั่งคลองท่ายาง มีร้านทำ เครื่องทอง
                            โรงเหล้า โรงบ่อนเบี้ย โรงยาฝิ่น มีศาลเจ้าจีน และมีวัดถึง ๗
                            วัด คือ 
                            
                            ๑. วัดพิชัยยาราม (วัดโบสถ์) ปัจจุบัน วัดท่ายางกลาง
                            
                            ๒. วัดคงคานาม (วัดล่าง) ปัจจุบัน วัดท่ายางใต้
                            
                            ๓. วัดพ่อท่านม่วง ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ
                            โรงเรียนวัดพิชัยยาราม
                            
                            ๔. วัดท่าทะขาม ปัจจุบันที่กรมศาสนา
                            ราษฎรเช่าที่ท่าเรือเกาะเต่า และโรงแรม
                            
                            ๕. วัดนอก ปัจจุบันเป็นบ้านนายกุศล – นายวิเชียร –
                            นางสาวประนอม
                            
                            ๖. วัดกลาง ปัจจุบันเป็นตลาดนัดท่ายางและพ่อปู่ชี
                            
                            ๗. วัดตะเคียนทอง (วัดเหนือ) ปัจจุบัน วัดท่ายางเหนือ
                            
                            พ.ศ. ๒๓๗๖ พระยาชุมพร (ซุ่ย) ถูกอาญาแผ่นดิน
                            ถูกถอดออกจากตำแหน่งเจ้าเมือง พระปลัดครุฑ ปลัดเมือง
                            ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองแทน พระยาชุมพร (ครุฑ)
                            ท่านได้สร้างวัดสุบรรณนิมิต(สุบรรณแปลว่า ครุฑ) และได้ย้ายบ้าน
                            และย้ายที่ทำการกรมการเมืองมาอยู่ที่ท่าตะเภาด้านฝั่งตะวันตก
                            ดังนั้นที่ตั้งของเมืองชุมพร จึงได้ย้ายจากท่ายางมาอยู่ที่
                            ท่าตะเภา รวมเมืองชุมพรอยู่ที่ท่ายางแค่ ๒๓ ปีเท่านั้น
                            
                            แต่ท่ายาง ก็ยังเป็นเมืองท่า และตลาดอยู่อีกนาน
                            และด้วยท่ายางเป็นตำบลใหญ่ตำบลหนึ่ง และใกล้ปากอ่าวเรือ
                            ทำให้มีเรือขนส่ง และเรือสินค้ามาแวะเวียนอยู่เสมอ
                            เพื่อส่งสินค้าเข้าสู่เมือง
                            จึงทำให้ท่ายางมีประชากรหนาแน่นขึ้น
                            จึงทำให้คนตำบลท่ายางในปัจจุบัน มีการประกอบอาชีพที่หลากหลาย
                            ทั้งอุตสาหกรรมขนส่งและการเกษตรในท้องถิ่น
                            ที่มีความอุดมสมบูรณ์ ก่อให้เกิดวิถีชีวิตที่สวยงาม
                            และน่าสนใจมาจนปัจจุบัน